เมื่อวันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.30–12.00 น. ณ ห้องพระวิษณุ ชั้น 3 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดกิจกรรมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาภาคเอกชน ภายใต้หัวข้อ “Agro and Bio Industry Through Bio-Innovation: ยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมฐานชีวภาพ” โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในภาคเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพผ่านการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ในประเทศ อันจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจแบบยั่งยืนตามแนวทาง BCG Economy Model ที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญ
กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ประกอบการ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นักวิจัย และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวของภาคอุตสาหกรรมต่อการเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีชีวภาพ โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทั้งเชิงวิชาการและเชิงประยุกต์ โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมตั้งแต่แนวทางการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ การยกระดับศักยภาพของ SMEs ด้วยกลไกสนับสนุนทางเทคโนโลยี การใช้วัสดุเหลือใช้ในภาคเกษตรให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการนำงานวิจัยไปพัฒนาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม
ในช่วงการบรรยาย ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลไกสนับสนุนจากภาครัฐที่ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อการวิจัยและพัฒนา (R&D Tax Incentives) ทุนสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปจนถึงบริการให้คำปรึกษาทางเทคนิคสำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิจัย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร ทั้งนี้ ยังมีการพูดถึงโครงการ Innovation and Technology Assistance Program (ITAP) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญกับภาคธุรกิจ โดยช่วยแก้ไขปัญหาทางเทคนิคและสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้จริงในระดับอุตสาหกรรม
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกนำเสนอภายในงานคือแนวทางการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เกษตรและของเหลือทิ้งทางการเกษตรผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยที่มีฐานทรัพยากรชีวภาพและวัตถุดิบหลากหลายในการต่อยอดสู่อุตสาหกรรมชีวภาพ เช่น การผลิตเอนไซม์ชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ และเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณของเสีย แต่ยังสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถปรับตัวเข้ากับกระแสโลกในเรื่องเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งช่วงที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการเสวนาในหัวข้อ “แปลงงานวิจัยให้เป็นธุรกิจ” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการที่เคยประสบความสำเร็จในการนำนวัตกรรมไปใช้จริง ได้แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกับนักวิจัยที่มีผลงานพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเน้นเรื่องการต่อยอดงานวิจัยให้ตรงกับความต้องการของตลาด การวางกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจัดหาพันธมิตรธุรกิจ และการหาช่องทางขยายตลาด การเสวนาครั้งนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าการทำงานร่วมกันระหว่างภาควิจัยและภาคเอกชนมีความสำคัญเพียงใดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมจากหิ้งสู่ห้าง
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้คำปรึกษารายบุคคลแบบ One-on-One Consulting ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พูดคุยโดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีชีวภาพ วิศวกรรมกระบวนการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และการออกแบบธุรกิจ โดยผู้เข้าร่วมสามารถเลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับปัญหาและเป้าหมายของธุรกิจของตน เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การยกระดับสินค้าปัจจุบัน หรือการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนและเป็นไปได้จริงในบริบทของธุรกิจตนเอง
โดยสรุป กิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาควิจัย และภาครัฐ ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน และเชื่อมโยงความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมทางชีวภาพของประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืน ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการในการนำนวัตกรรมไปต่อยอดในเชิงธุรกิจอย่างมั่นคง พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในอนาคต