วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ประเทศไทยกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ให้เป็นวาระแห่งชาติ ด้วยการผลักดัน “เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology)” ให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์ความยั่งยืนของประเทศ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สวทช. ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ได้จัดการประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “การกำหนดกรอบโจทย์วิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ ด้านพลังงาน เคมี และวัสดุชีวภาพ” ณ ห้องประชุมหว้ากอ 2 สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) อาคารจัตุรัสจามจุรี ชั้น 14 ถนนพญาไท กรุงเทพมหานคร และผ่านระบบออนไลน์ เพื่อระดมสมองและวางพิมพ์เขียวอนาคตของเทคโนโลยีนี้ในประเทศไทย
การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำถึงเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศผู้นำด้านเศรษฐกิจชีวภาพ โดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาด เคมี และวัสดุชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ การพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยลดการนำเข้าวัตถุดิบและเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านการผลิตสารตั้งต้นและวัสดุที่มีศักยภาพจากทรัพยากรชีวภาพภายในประเทศ แต่ยังสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและโลกร้อน ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้ของเสียเป็นวัตถุดิบในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
กรอบการพิจารณาและโจทย์วิจัยอนาคต:
ที่ประชุมได้เสนอกรอบการพิจารณาโจทย์วิจัยที่เหมาะสม โดยครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่
- ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจ: พิจารณาจากศักยภาพของตลาด ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ และผลเสียหากไม่มีการดำเนินการวิจัย
- ด้านความเป็นไปได้: ประเมินจากระยะเวลาในการส่งมอบ ความเสี่ยง ความพร้อมของภาคเอกชน และความมั่นคงของวัตถุดิบ
- ด้านความพร้อมทางวิทยาศาสตร์: พิจารณาจากความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย โครงสร้างพื้นฐาน และประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา
- ด้านการใช้ชีววิทยาสังเคราะห์เป็นเทคโนโลยีหลัก: ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความได้เปรียบเชิงเทคนิคและแตกต่างจากแนวทางเดิม
สำหรับตัวอย่างโจทย์วิจัยที่ถูกเสนอ มีการระบุทิศทางที่หลากหลาย เช่น:
- พลังงานชีวภาพ: การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ, การพัฒนาเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืน (SAF), การออกแบบจุลินทรีย์ที่ใช้แสงหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตพลังงาน, และการพัฒนาแบตเตอรี่ชีวภาพ
- วัสดุชีวภาพ: การพัฒนาโพลิเมอร์ที่สามารถย่อยสลายได้
- เคมีชีวภาพ: การวิจัยการผลิตสารเคมีชีวภาพที่มีมูลค่าสูง เช่น Bio-isoprenoids หรือสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา
- โจทย์ร่วม (Cross-cutting): การใช้ก๊าซ CO₂ หรือของเสียทางเกษตรในการผลิตสารชีวภาพ, และการออกแบบเครื่องมือทางด้าน Synthetic Biology ที่ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาสิทธิบัตร
ปัจจัยสนับสนุนและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม:
การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ:
- ด้านเทคโนโลยีและกระบวนการ: การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร่วมกับเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ในการออกแบบ Metabolic Pathway และ Cell Factory, การพัฒนา Bioreactor ที่มีต้นทุนต่ำแต่ประสิทธิภาพสูง, รวมถึงความสามารถในการขยายขนาดกระบวนการหมักและ bioprocess
- ด้านระบบนิเวศและทุนวิจัย: การสนับสนุนทุนในรูปแบบ Consortium หรือ Block Grant ที่เชื่อมโยงนักวิจัย ภาคเอกชน และภาครัฐเข้าด้วยกัน, การพัฒนาเครื่องมือทางด้าน Synthetic Biology ที่ประเทศสามารถถือครองสิทธิ์ได้เอง, และการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายและนโยบายที่เอื้อต่อการนำผลงานวิจัยเข้าสู่ตลาด
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาที่สำคัญ เช่น ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (TBRC) สำหรับการเก็บรักษาจุลินทรีย์, โครงสร้างพื้นฐานด้านการสังเคราะห์และตัดต่อยีน, ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ที่ทันสมัย, และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไทย (ThaiSC) เพื่อสนับสนุนวงจร Design-Build-Test-Learn (DBTL) ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโรงงานนำร่อง (Pilot Plant) สำหรับการขยายขนาดการผลิตทั้งแบบ Non-GMP และ GMP ในหลากหลายขนาดกำลังการผลิต ซึ่งกระจายอยู่ในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ทั่วประเทศ
อุปสรรคและความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข:
แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การประชุมครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่:
- ขาดมาตรฐานสากล: เช่น Carbon Footprint หรือมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชีวภาพ
- ขาดการเชื่อมโยงวิจัยกับภาคเอกชน: ส่งผลให้ผลงานวิจัยจำนวนมากไม่สามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้
- ขาดความบูรณาการนโยบาย: ระหว่างหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความไม่ต่อเนื่องในการให้ทุนวิจัย
- ความสามารถในการแข่งขัน: ผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากไทยยังไม่โดดเด่นพอที่จะแข่งขันในระดับนานาชาติ
- ขาดบุคลากร: โดยเฉพาะบุคลากรที่มีทักษะเชิงเทคนิคสมัยใหม่ในสาขาสำคัญ เช่น วิศวกรรมชีวภาพ, ชีวเคมี, ระบบข้อมูลชีวภาพ, และการตลาดนวัตกรรม
การประชุมกลุ่มย่อยครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการดำเนินงานในระดับนโยบายและการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ยังต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากทุกภาคส่วน ทั้งการวางโจทย์วิจัยที่สอดคล้องกับตลาด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม การออกแบบกลไกทุนวิจัยที่มีความยืดหยุ่น ตลอดจนการเร่งสร้างกำลังคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะหลากหลาย เพื่อตอบรับความท้าทายของโลกในยุคที่ชีววิทยาไม่ใช่แค่การศึกษา แต่คือเครื่องมือสำคัญในการสร้างอนาคตอย่างยั่งยืน