Thailand SynBio Consortium Presents
Thai SynBio Challenge 2025 | เมื่อนักชีววิทยาสังเคราะห์รุ่นใหม่ออกแบบโปรตีนแห่งอนาคต

ปีนี้เป็นปีแรกที่วงการเทคโนโลยีชีวภาพของไทยได้มีการแข่งขัน Thai SynBio Challenge 2025 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โจทย์หลักที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นอย่าง “Designing the Protein for Tomorrow” หรือ “การออกแบบโปรตีนแห่งอนาคต” การแข่งขันระดับประเทศนี้ได้เชิญชวนทีมนักเรียนนักศึกษามาประชันสมองในการออกแบบโครโมโปรตีนสังเคราะห์ (Synthetic Chromoprotein) หรือโปรตีนสีชนิดใหม่ เพื่อประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม หลังจากปิดรับสมัครและผ่านกระบวนการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากผู้สมัครทั้งหมด 29 ทีมทั่วประเทศ ในที่สุดก็ได้ 9 ทีมสุดท้ายที่ได้ไปต่อ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงความท้าทายของการแข่งขัน แนวทางของทีมที่เข้ารอบ และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากนวัตกรรมเหล่านี้
โจทย์โปรตีนที่จับต้องได้
หัวใจของ Thai SynBio Challenge 2025 คือการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสกับกระบวนการหลักของชีววิทยาสังเคราะห์ นั่นคือวงจร Design–Build–Test–Learn (DBTL) ในอดีต ขั้นตอน “Build” (การสร้าง) และ “Test” (การทดสอบ) ถือเป็นคอขวดที่ใช้เวลาและต้นทุนสูง แต่ด้วยเทคโนโลยี Biofoundry อัตโนมัติจาก SIAT (Shenzhen Institute of Advanced Technology) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขัน ภาระส่วนนี้จึงถูกจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถทุ่มเทสมาธิไปที่สองส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “Design” (การออกแบบ) และ “Learn” (การเรียนรู้) ได้อย่างเต็มที่

สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันต้องทำ ได้แก่
1. ออกแบบโครโมโปรตีน ต้องออกแบบโปรตีนใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม
2. ส่งมอบผลงาน แต่ละทีมต้องส่งลำดับดีเอ็นเอ (DNA coding sequence) ที่ออกแบบไว้ (ขนาดไม่เกิน 1 kb) จำนวน 3 ลำดับ
3. การทดสอบจริง SIAT Biofoundry จะนำลำดับ DNA เหล่านี้ไปสังเคราะห์จริง โดยโคลนเข้าสู่พลาสมิด pET28a และนำไปเลี้ยงในแบคทีเรีย E. coli BL21(DE3) เพื่อกระตุ้นการแสดงออกของโปรตีน จากนั้นจะทำการวัดค่าสีในระบบ RGB จากตะกอนเซลล์ที่ได้
ผู้เข้าแข่งขันไม่ได้แค่ “คิด” แต่ต้องออกแบบลำดับพันธุกรรมที่สามารถ “สร้าง” และ “แสดงผล” ออกมาเป็นโปรตีนที่มีสีตามต้องการได้จริง
ส่องแนวคิด 9 ทีมสุดท้าย Thai SynBio Challenge 2025
จากการคัดเลือกอย่างเข้มข้น 9 ทีมที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 2 ประกอบด้วย
1. Red Flags – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. 10PMlab – มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3. TU Chromatint – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4. Iris – มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต
5. MeatU – มหาวิทยาลัยมหิดล
6. Powerpuff Ghouls – มหาวิทยาลัยพะเยา
7. Katoeykii – โรงเรียนกำเนิดวิทย์
8. AMB – Newton Sixth Form
9. LigniTech – มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ทีมเหล่านี้ได้ผ่านการคัดกรองแนวคิดเบื้องต้นมาแล้ว โดยต้องตอบคำถามสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
1. พวกเขาสนใจนำโปรตีนสีไปใช้ใน ผลิตภัณฑ์ประเภทใด
2. พวกเขาสนใจ สีอะไร
3. พวกเขาจะใช้ โปรตีนใดเป็นจุดเริ่มต้น ในการออกแบบ
แนวคิดของ 9 ทีมสุดท้าย ที่แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มนวัตกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มไบโอเซนเซอร์อัจฉริยะ กลุ่มเม็ดสีชีวภาพเพื่อความยั่งยืน และกลุ่มวัสดุชีวภาพขั้นสูง
ไบโอเซนเซอร์อัจฉริยะ เมื่อโปรตีนเห็นสิ่งที่ตาเปล่าไม่เห็น
กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมุ่งเน้นการใช้โปรตีนสีเป็น “เซนเซอร์” ตรวจจับสิ่งปนเปื้อนหรือสภาวะต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
การต่อสู้กับสารหนู: ทีม 10PMlab และ AMB
ปัญหาสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนในแหล่งน้ำเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ซึ่งวิธีการตรวจวัดแบบดั้งเดิมนั้นมีราคาแพงและใช้เวลานาน สองทีมได้พัฒนาเซนเซอร์ตรวจจับสารหนูด้วยแนวทางที่คล้ายคลึงกันแต่น่าสนใจ
ทีม 10PMlab (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ออกแบบโปรตีนลูกผสม ArsRCP โดยการเชื่อมต่อ AmilCP (โปรตีนสีน้ำเงินม่วง) เข้ากับ afArsR (โปรตีนที่จับกับสารหนู) แนวคิดคือ เมื่อสารหนู (As3+) เข้ามาจับกับส่วน afArsR มันจะเหนี่ยวนำให้โปรตีนทั้งก้อนเปลี่ยนรูปร่าง ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของ AmilCP ทำให้สีน้ำเงินจางลงหรือเปลี่ยนไป ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแถบทดสอบบนกระดาษคล้ายกระดาษลิตมัสได้
ทีม AMB (Newton Sixth Form) ใช้หลักการเดียวกันแต่เลือกใช้เครื่องมือต่างกัน พวกเขาเชื่อม miniGFP (โปรตีนเรืองแสงสีเขียวขนาดเล็ก) เข้ากับ ArsR ระบบนี้ทำงานแบบ FRET (การถ่ายเทพลังงาน) เมื่อ ArsR จับกับสารหนู มันจะเปลี่ยนรูปร่างและส่งผลต่อคุณสมบัติการเรืองแสงของ miniGFP ทำให้สามารถวัดค่าการปนเปื้อนได้จากความเปลี่ยนแปลงของแสงฟลูออเรสเซนส์
วิดีโอแนะนำทีม 10PMlab | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เซนเซอร์เพื่อสุขภาพและอาหาร: ทีม MeatU และ Katoeykii
นอกจากสิ่งแวดล้อมแล้ว โปรตีนยังถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับสัญญาณจากร่างกายและอาหาร
ทีม MeatU (มหาวิทยาลัยมหิดล) พัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดความสดของเนื้อสัตว์ เพื่อแก้ปัญหาการเน่าเสีย พวกเขาออกแบบ E. coli ให้มียีน AmilCP (สีน้ำเงินม่วง) ที่ควบคุมโดยโปรโมเตอร์ PsboA ซึ่งโปรโมเตอร์นี้จะ “เปิด” ก็ต่อเมื่อได้รับ สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่ปล่อยออกมาจากเนื้อที่เริ่มเน่าเสีย ผลคือแบคทีเรียจะผลิตสีน้ำเงินม่วงออกมาเป็นสัญญาณเตือน โดยทีมจะบรรจุแบคทีเรียนี้ในไฮโดรเจลใสเพื่อทำเป็น “สติกเกอร์” ติดบนบรรจุภัณฑ์เนื้อสัตว์
ทีม Katoeykii (โรงเรียนกำเนิดวิทย์) สร้างนวัตกรรม “พลาสเตอร์ปิดแผลอัจฉริยะ” สำหรับแผลเรื้อรัง ซึ่งมักมีเอนไซม์ MMP-2 และ MMP-9 ในระดับสูง พวกเขาออกแบบระบบ “OFF-ON” โดยใช้ AmilCP ในสภาวะปกติ (OFF) โปรตีนจะถูกออกแบบให้เป็นสายเดี่ยวที่บิดเบี้ยว ทำให้ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นสีได้ แต่เมื่อเอนไซม์ MMPs ในแผลมาตัด “สายเชื่อม” ที่ออกแบบไว้ โปรตีน AmilCP จะเป็นอิสระและกลับมาจับคู่กัน (Dimerize) กลายเป็นสภาวะ (ON) และปรากฏ “สีน้ำเงิน” ขึ้นบนพลาสเตอร์ เพื่อแจ้งเตือนการอักเสบหรือติดเชื้อ
วิดีโอแนะนำทีม MeatU | มหาวิทยาลัยมหิดล
วิดีโอแนะนำทีม Katoeykii | โรงเรียนกำเนิดวิทย์
เม็ดสีชีวภาพ วิศวกรรมโปรตีนสีที่ยั่งยืน
กลุ่มนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมสีย้อมและเม็ดสีในปัจจุบัน ที่ส่วนใหญ่ใช้สารเคมีจากปิโตรเลียมและโลหะหนัก
ทีม Powerpuff Ghouls (มหาวิทยาลัยพะเยา) ตั้งเป้าพัฒนาโปรตีนสีเพื่อทดแทน “สีย้อมคราม” (Indigo Dye) แบบดั้งเดิม ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรที่ดินและการปลูกพืชจำนวนมาก พวกเขาเลือกโปรตีน mCardinal มาเป็นต้นแบบ และทำการวิเคราะห์ลำดับกรดอะมิโนที่ส่งผลต่อความเป็นสีน้ำเงินและความเข้มโดยจะดัดแปลงพันธุกรรมในตำแหน่งสำคัญ (เช่น 164 และ 64) ให้มีคุณสมบัติคล้ายกับ mMaroon ซึ่งเป็นสีน้ำเงินที่เข้มกว่า เพื่อสร้างสีย้อมที่ยั่งยืน
ทีม Red Flag (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ต้องการสร้างเม็ดสีที่ปลอดภัย ย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับใช้ในสีในอุตสาหกรรม เช่น packaging โดยใช้ mCherry (โปรตีนเรืองแสงสีแดง) เป็นฐาน เนื่องจาก mCherry แบบเดิมมีจุดอ่อนคือสีซีดจางง่ายเมื่อโดนแสง พวกเขาจึงออกแบบ 3 ลำดับ DNA ใหม่ ให้เม็ดสีที่เข้มขึ้น (Darker) เรืองแสงสว่างขึ้น และเสถียรยิ่งขึ้น
วิดีโอแนะนำทีม Powerpuff Ghouls | มหาวิทยาลัยพะเยา
วิดีโอแนะนำทีม Red Flag | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วัสดุชีวภาพขั้นสูง
กลุ่มสุดท้ายคือทีมที่ผลักดันขอบเขตของโครโมโปรตีนไปสู่การใช้งานรูปแบบใหม่ ทั้งในเชิงสุขภาพและการสร้างพลังงาน
ทีม TU Chromatint (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และ ทีม LigniTech (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ทั้งสองทีมมุ่งเน้นไปที่โปรตีนชนิดเดียวกันคือ C-Phycocyanin (C-PC) ซึ่งเป็นโปรตีนสีน้ำเงินจากไซยาโนแบคทีเรีย แต่มีเป้าหมายต่างกัน
TU Chromatint สนใจคุณสมบัติทางชีวภาพ (Bioactive) ของ C-PC ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ ความท้าทายของพวกเขาคือการออกแบบยีน C-PC ใหม่ 3 รูปแบบ ให้อยู่ในข้อจำกัด 1,000 คู่เบส โดยที่ยังคงคุณสมบัติทางยาและสร้างสีใหม่ๆ ได้ เช่น การตัดยีนให้สั้นลง การดัดแปลงตำแหน่งจับสารให้สี หรือการเชื่อมต่อกับโปรตีนสีม่วง (gfasCP)
LigniTech มีแนวคิดสุดล้ำคือ “โคมไฟมีชีวิต” (Living Street Lamps) พวกเขาต้องการใช้คุณสมบัติการเรืองแสงของ C-PC เพื่อสร้างต้นไม้เรืองแสงสำหรับให้แสงสว่างในเมือง เพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดแบบเดิม
วิดีโอแนะนำทีม TU Chromatint | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิดีโอแนะนำทีม LigniTech | มหาวิทยาลัยพะเยา
ทีม Iris (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต) ฉีกแนวไปจากทีมอื่นโดยสิ้นเชิง พวกเขาสนใจโปรตีน Reflectin ที่พบในปลาหมึก โปรตีนชนิดนี้ไม่ได้ “สร้างสี” จากการดูดกลืนแสง (แบบเม็ดสี) แต่สร้าง “สีเชิงโครงสร้าง” (Structural Color) จากการสะท้อนแสง ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการเกิดรุ้งบนปีกผีเสื้อ ทีมจะทำการแสดงออกยีน Reflectin จากปลาหมึก 3 สปีชีส์ และทดสอบว่าสีของมันเปลี่ยนแปลงอย่างไรภายใต้ค่า pH และอุณหภูมิที่ต่างกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาไบโอเซนเซอร์รูปแบบใหม่สำหรับการคัดกรองจุลินทรีย์
วิดีโอแนะนำทีม Iris | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต
